หน้าแรก
งานนิติการ
ดร.วิชญะ เครืองาม นักกฎหมายผู้เดินตามรอยพ่อ
คอลัมน์
Exclusive Interview
โดย ณฐกร ขุนทอง
|
หนุ่มวัย
26
ผู้นี้ คือ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ดร.วิษณุ เครืองาม
มือกฎหมายผู้เยี่ยมยุทธ์และศาสตราภิชานแห่งคณะนิติศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีผู้พ่อเป็นแบบอย่าง บางคนบอกว่า
เขาแทบจะเดินตามรอยเท้าพ่อด้วยซ้ำ
เพราะการเลือกเรียนนิติศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เป็นเนติบัณฑิต
แล้วไปต่อปริญญาโท และปริญญาเอก คว้าดีกรีด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
เบิร์กเลย์ กลับมาในวัยเพียง 24 กว่าๆ
จนได้เป็นนักกฎหมายประจำบริษัท ไวท์ แอนด์ เคส (ประเทศไทย) จำกัด
ซึ่งเป็นบริษัทกฎหมายเก่าแก่ของอเมริกา ทำให้ใครๆ
ก็พากันกล่าวว่าชีวิตของเขาเป็นลูกไม้ที่หล่นใกล้ต้นยิ่งนัก
แม้จะมีชีวิตที่ดูเป็นรูปแบบ แต่ลูกไม้ที่ชื่อ
"โอม-ดร.วิชญะ เครืองาม" ผู้นี้ กลับมีเรื่องราวไลฟ์สไตล์ที่อาจจะไม่ได้เหมือนนักกฎหมายผู้คร่ำเคร่งนัก
-
ชีวิตการศึกษาของคุณเริ่มต้นอย่างไร
ผมเรียนที่โรงเรียนจิตรลดา จนถึงมัธยมต้น
แล้วมาต่อเตรียมอุดมฯ 2 ปี
สอบเทียบเข้านิติศาสตร์จุฬาฯ 4 ปี
เสร็จแล้วไปเรียนต่อโทและเอกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์
อยู่ติดกับซานฟรานฯ ผมเรียนโท 9 เดือน รีบเรียน
เพราะไปทุนส่วนตัว เอกอีก 2 ปี
จบแล้วก็กลับมาเมืองไทย แต่พอมาถึงตอนเมษาฯ 2549
ยังไม่ได้ทำงานเลยนะ กลับมาเที่ยวกับคุณพ่อก่อน
เพราะช่วงนั้นคุณพ่อว่างพอดี
เที่ยวอยู่ประมาณครึ่งปีแล้วก็เริ่มทำงานประมาณเดือนธันวาคมปี 2549
ตอนนี้ทำงานมา 1 ปีครึ่งแล้วครับ
-
ทำไมดูชีวิตการเรียนเร่งรีบจัง
ที่จริงเรียนได้ก็เรียน ตอนจบเอกอายุ 24
ปลายๆ เกือบ 25
คุณพ่อจบเอกประมาณเดียวกับผมนะ (หัวเราะ)
- เป็นเด็กที่มีชีวิตหมกหมุ่นการเรียน
ถ้าดูเกรด ดูไลฟ์สไตล์
จะไม่เชื่อเลยว่าเรียนมาถึงจุดนี้ได้ ผมไม่ใช่เด็กเรียนเลย ผมไม่สนใจเรียน
แต่อยากได้เกรดดี
ขี้เกียจอ่านหนังสือแต่อยากประสบความสำเร็จในเรื่องการเรียน
ชีวิตเด็กเรียนจริงๆ ต้องอ่านหนังสือ แต่ของผมโดดเรียนก็มีบ้าง
- คุยกับคุณพ่อบ้างไหม
เพราะท่านเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย
กับคุณพ่อ
ถ้าสงสัยอะไรจะเข้าไปคุยมากกว่าที่จะมานั่งจัดติวอะไรกัน ตอนที่เรียนอยู่
มีเรื่องมาถกกันเกี่ยวกับการเรียนบ้าง
แต่ส่วนใหญ่คุณพ่อจะปล่อยให้ผมไปอ่านเองมากกว่ามานั่งจ้ำจี้
พอดีคุณน้าผมเป็นอาจารย์ด้วย เป็นผู้พิพากษาด้วย มีอะไรก็ถามท่านได้
ถ้ายังไม่เคลียร์ก็คุยกับคุณพ่ออีกทีหนึ่ง
ตอนที่ผมเรียนปริญญาตรีคุณพ่อยุ่งๆ พอดีท่านเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ตอนผมจบก็เป็นรองนายกรัฐมนตรี คุณพ่อก็ไม่มีเวลามานั่งจ้ำจี้จ้ำไช
ก็เลยอ่านเอง หรือไม่ก็ถามเพื่อน ถามอาจารย์
แต่ก็เป็นเชิงได้เปรียบที่คุณพ่อเคยเป็นอาจารย์ที่คณะนิติศาสตร์จุฬาฯ
ผมเลยรู้จักอาจารย์ที่คณะตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว (หัวเราะ)
-
ทำไมไม่สนใจเป็นอาจารย์เหมือนคุณพ่อ
ที่จริงก็สนใจ ผมชอบคุย ชอบติว ชอบสอนมากเลย
เพียงแต่คิดว่า ตอนนี้กำลังไฟแรง ยังพอมีแรงที่อยากจะหาประสบการณ์
ผมเรียนในทางทฤษฎีมาค่อนข้างเยอะมาก
มาถึงปริญญาเอกไม่เชิงทางตันถือว่าสุดทางของสายทฤษฎี
แต่ในเชิงประสบการณ์ชีวิตการนำกฎหมายไปใช้ปฏิบัติจริงๆ แทบไม่มี
ผมเองเคยฝึกงานอยู่ที่เบเคอร์แอนด์แมคเคนซีตอนปี 3
ระยะหนึ่งที่เมืองไทยตอนเรียนอยู่จุฬาฯปี 3
เพียงแต่ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพราะเวลามันสั้น
ฉะนั้นผมก็เลยคิดว่ากลับมาแล้วหาประสบการณ์ชีวิตดีกว่า
เอาเรื่องเอกชนกฎหมายทั้งหลายมาใช้
แต่จริงๆ ก็ตั้งใจจะเป็นอาจารย์เหมือนกัน
ไม่ว่าประจำหรือพิเศษนะ
-
ดูเหมือนเราจะเอาคุณพ่อเป็นแบบอย่าง ก้าวตามรอยเท้าคุณพ่อเลยหรือเปล่า
ดูคุณพ่อเป็นแบบอย่างพอสมควร ทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิต
คุณพ่ออยู่มาหลายรัฐบาลเป็นเวลาร่วมๆ สิบปี ทำงานได้กับคนหลายกลุ่ม
ก็ควรจะดูเอาเป็นตัวอย่างอยู่แล้ว หลายๆ
คนก็ยังมองคุณพ่อเป็นตัวอย่างด้วยซ้ำไป ในวงการ ยิ่งผมเป็นนักกฎหมาย
เป็นทั้งลูกและลูกศิษย์ด้วย เรียนเนฯก็เรียนกับคุณพ่อ จบจากสถาบันเดียวกัน
บางคนบอกว่า...แทบจะเดินตามรอยเท้าคุณพ่อเลย
- เป็นลูกไม้ใกล้ต้นมากๆ
ใกล้มากครับ (หัวเราะ) ดูท่านเป็นตัวอย่าง
แต่ผมก็ไม่อยากเดินตามรอยเท้าคุณพ่อซะทีเดียว
มีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนคุณพ่อ บางคนมาสัมภาษณ์ผมก็จะบอกว่า
ผมไม่เหมือนคุณพ่อ บุคลิก ไลฟ์สไตล์
-
ลักษณะงานที่เราทำเป็นอย่างไร
ผมเป็นที่ปรึกษากฎหมาย บริษัทไวท์แอนด์เคส
เป็นบริษัทมาจากนิวยอร์ก อเมริกา ตั้งมาร่วมๆ 100
ปีแล้ว อยู่มานานระดับท็อปๆ เพียงแต่เมืองไทยเพิ่งมาบุกเบิกเมื่อปีที่แล้ว
แล้วก็ค่อยๆ โตขึ้นๆ ปกติในลอว์เฟิร์ม จะแบ่งเป็นกรุ๊ปๆ แบงกิ้งไฟแนนซ์,
เอ็มแอนด์เอ (กิจการ),
พวกว่าความในคดี หน้าที่ของผมปีที่แล้ว เขาให้เข้าไปให้ดูภาพรวมก่อน
ถนัดด้านไหนก็วนๆ สุดท้ายมาลงเกี่ยวกับแบงกิ้งไฟแนนซ์
การเงินการธนาคาร พวกร่างสัญญาเงินกู้ สัญญาประกัน
เป็นสัญญาที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน สัญญาเช่าก็เกี่ยว สัญญาต่อรอง
แล้วก็มีโฟร์สซิ่ง เป็นนักกฎหมายที่ทำเกี่ยวกับธุรกรรมทั้งหลาย
-
การทำงานกับบริษัทต่างชาติยากไหม
การทำงานทำให้เราได้ใช้ภาษาอังกฤษตลอด
อย่างการเขียนจดหมายที่ปกติเวลาแชตกับเพื่อนก็เป็นคำเล่นๆ
แต่ตรงนี้ต้องคิดเพราะถ้าอีเมล์ออกไปแล้วจะต้องผูกพันกับเราในอนาคต
เพราะว่าเป็นการให้คำแนะนำอย่างหนึ่งที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ต้องปรับความเป็นทางการ และแกรมม่ามากขึ้น
จะส่งอีเมล์ไปทีหนึ่งที่บริษัทเขาจะมีอิงลิช รีวิว
ให้เขาช่วยดูให้หน่อยจะสื่อสารตรงเกินไปหรือเปล่า เพราะบางอย่างมันจะต้องซอฟต์
อันนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนเลยนะว่า คนที่เรียนทฤษฎีมาแล้วทำงาน
ผมว่าจะเอาทฤษฎีมาแอปพลายจริงๆ ลำบากมาก
การที่จะอธิบายกฎหมายให้ใครคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องฟัง
แล้วต้องอธิบายเป็นภาษาฝรั่งด้วย บางทีต้องยกตัวอย่าง
บางทีเขาไม่เข้าใจก็ต้องอธิบาย อันนี้เป็นวิธีที่ผมกำลังเรียนรู้มากเลย
- งานดูค่อนข้างเครียด
เครียดกับงานก็เครียด
ทีแรกไม่เคยทำงานมาก่อนก็เอามาคิดฟุ้งซ่านเรื่องโน้นเรื่องนี้
แต่ตอนหลังคุยกับพี่ๆ ที่ทำงานหรือคนที่เคยมีประสบการณ์ เขาจะบอกว่า
จริงจังกับงานได้นะในเวลานั้น แต่ถ้าเกิดเรากลับมาบ้าน แล้วมาเครียดน่ะ
"ไม่เวิร์ก" อยู่ที่ทำงานจึงค่อนข้างคอนเซ็นเทรต
แต่บางครั้งก็คุยเล่นกันบ้างนะ
- ทำงานอาทิตย์ละกี่วัน
5 วันครับ น้อยครั้งที่จะมีไปเสาร์-อาทิตย์บ้าง
แต่เวลาทำงานก็ไม่แน่นอน บางทีอาจจะมาเช้าเลิกดึก ถ้ารู้ตัวว่า
บ่ายจะมีงานก็เตรียมตัวอยู่ดึก อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ)
ดีว่าทนายไม่มีตอกบัตร เพราะฉะนั้น คล่องตัวมาก แต่ถ้าจะนัดใครตอนเย็น
ต้องบอกก่อนเลยว่า ยังไม่คอนเฟิร์มนะ จนกว่าจะบ่าย
- อย่างนี้ก๊วนเที่ยวกลางคืนก็รอเงกเลยสิ
ไม่เชิงรอเงก นัดดึกๆ ได้ พวกเพื่อนๆ
เป็นแบบเดียวกันทั้งนั้น (หัวเราะ)
- มีเที่ยวกลางคืนบ่อยไหม
ที่เรียนอยู่ก็เที่ยวมาตลอด ทั้งเมืองนอกและเมืองไทย
เที่ยวมาหมด เพียงแต่พอเริ่มทำงาน เที่ยวน้อยลง มีคนเขาบอกว่า "แก่ขึ้นแล้วเที่ยวน้อยลง"
อันนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่อยากเชื่อเลยนะว่าเป็นเรื่องจริง
ผมรู้สึกว่าแต่ก่อนเราชอบเที่ยวมากไปถึงกินเหล้า แต่ไม่สูบบุหรี่นะ
แต่พอถึงจังหวะหนึ่งผมรู้สึกว่าเหนื่อย กินเหล้าแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมา
ไปกินเหล้านี่เสียสองวันเลยนะคือวันนั้นกับวันรุ่งขึ้น ตื่นมาแฮงอีก
ก็เลยลดน้อยลง จนหลังๆ ไม่เที่ยวเลยก็ได้นะ แต่เอ๊ะ ไม่อยากคอมมิตตัวเอง
(หัวเราะ)
- แล้วครอบครัวล่ะ
วันไหนกลับมาเร็วก็จะไปทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่
ผมพยายามแบ่งเวลาหนึ่งอาทิตย์ อย่างน้อยต้องมีเวลากี่วันๆ ให้คุณพ่อคุณแม่
ถ้าอาทิตย์นั้นคุณพ่อคุณแม่ไปต่างประเทศก็ลากยาวหน่อยได้ ไม่ต้องรีบกลับ
แต่ถ้าเกิดคุณพ่อคุณแม่อยู่ก็จะพยายามกลับบ้านให้เร็ว
- ทำงานเกี่ยวกับนักกฎหมาย
ช่วงปีสองปีที่ผ่านมา นักกฎหมายถูกสปอตไลต์ฉายเยอะ
เราก็อยู่ในฐานะนักกฎหมายด้วย คิดเรื่องการแบ่งขั้วอย่างไร
ใช่ครับ (หัวเราะ) ก็ถ้าจะดูรวมๆ
แล้ว คนไทยจบกฎหมายเยอะมาก แต่ละคนมีจิตสำนึก
ทางกฎหมายหรือว่าความรับผิดชอบความรู้ที่แตกต่างกัน
ถ้าจะมองก็ต้องมองแยกเป็นบุคคลๆ ไป จะไปมองว่านักกฎหมายพวกนี้มันหัวหมอ ศรีธนญชัย
ผมไม่คิดว่าจะแฟร์นะสำหรับคนในอาชีพนี้ทั้งหมด
ที่ผมเลือกเรียนกฎหมายเพราะผมอยากช่วยเหลือคน
เรื่องเงินไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการที่สุดในชีวิต บ้านเราก็มี รถก็มี
ผมอยากจะช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน เพราะเข้าใจว่าคนที่มีปัญหาทางกฎหมายนี่
เดือดร้อนจริงๆ ไม่รู้จะหันไปทางไหน ถ้าเราให้คำตอบเขาได้ ผมรู้สึกดี
ไม่ต้องเอาเงินมากองให้ผมหรอก
-
แสดงว่ามีคนมาปรึกษาฟรีกับเราเยอะ
พอรู้ว่าเราไม่คิดตังค์ก็เยอะ (หัวเราะ) แต่เราก็โอเคพาไปเลี้ยงข้าวหน่อยนะ
โดยมากก็เป็นเพื่อน เพราะเพื่อนก็เริ่มทำธุรกิจกันแล้ว เป็นญาติ คนรู้จัก
เพื่อนคุณพ่อบ้าง แต่ผมไม่มั่วนะ (หัวเราะ) อะไรที่ไม่รู้จริงๆ
ก็บอกว่าไม่รู้ เพราะประสบการณ์ผมน้อย พวกนี้ถ้าแนะนำผิดนี่เจ๊งเลยนะครับ
-
กับกรณีที่อาจารย์วิษณุเคยถูกวิจารณ์ว่าเป็นเนติบริกร
ทีแรกผมฟังดูไม่เป็นไร ฟังไปมากลายเป็นเรื่องลบ
อาชีพนักกฎหมายก็เป็นอาชีพบริการอยู่แล้ว ทุกคนถ้ามีหัวใจบริการก็ทำเต็มที่
คนเราถ้าอยู่ในตำแหน่งที่เป็นพับลิกฟิกเกอร์
ถ้าทำอะไรแล้วให้คุณให้โทษได้ก็จะมี
ผมยอมรับการแสดงความเห็นแบบนี้ได้อยู่แล้ว
แต่ถ้าจะมองในแง่ลบก็ต้องบอกได้ว่า การกระทำของคุณพ่อตรงไหนล่ะ
แต่ก็ต้องดูผลกระทบระยะยาวด้วย ตอนนั้นคุณพ่อทำงานเยอะ ค่อนข้างโดดเด่น
เป็นมือกฎหมายของรัฐบาล ท่านก็รับหมด ทั้งดีไม่ดี
-
แล้วเรื่องรัฐธรรมนูญที่กำลังวุ่นวายในตอนนี้ล่ะ
ในฐานะนักกฎหมายคนหนึ่งมองว่าอย่างไร
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ปกครองประเทศเหนือ พ.ร.บ.
พ.ร.ก. พ.ร.ฎ. ทั้งหลาย กฎหมายสูงสุดการออกก็ยาก ต้องอาศัยฉันทามติ
และต้องริเริ่มโดยผู้นำที่มีความมุ่งมั่นจริงๆ
ต้องไม่มีอคติกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้จะเป็นกฎหมายสูงสุด
เราก็ไม่คิดว่ามันจะแก้ไขไม่ได้ หรือแก้ไขยากขนาดที่ว่าอย่าไปแตะต้องมัน
เพราะกฎหมายจะต้องมีวิวัฒนาการไปตามสังคม กฎหมายล้มมาแล้วกี่ฉบับ
ผมคิดว่าเราแตะได้ และสามารถแก้ไขได้
จะมากน้อยก็ดูที่ความเหมาะสม เนื้อหา บริบทของสังคมว่าเขาต้องการแบบไหน
โดยหลักของรัฐธรรมนูญแตะได้ ที่ผ่านมาผมเห็นว่าไม่มีรัฐธรรมนูญไหนที่เปอร์เฟ็กต์
100 เปอร์เซ็นต์ไปหมด มีจุดรับไม่ได้บ้างเล็กน้อย
เรื่องพวกนี้ต้องระวังหน่อย
-
แล้วในตอนนี้วางแผนชีวิตเอาไว้อย่างไรบ้าง
ตอบแบบไม่คิดอะไรมากก็คือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ตอนนี้เราต้องหาเงินก่อร่างสร้างตัว
สุดท้ายก็ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
ตอนที่เขียนในข้อเสนอปริญญาเอก ผมบอกว่า
อยากจะเป็นอาจารย์เปิดโรงเรียนสอนกฎหมาย เป็นสำนักกฎหมายของอาเซียน
ตอนนั้นคุณพ่อเคยพูดถึง คิดว่าถ้าคุณพ่อว่างๆ ก็มาทำด้วยกัน
ผมมองว่ากฎหมายในอาเซียนสามารถรวมกันได้นะ อย่างน้อยภาคใต้ ประเทศไทย
มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มีอะไรคล้ายๆ กัน
กฎหมายปลายทางเดียวกันอยู่แล้ว ทำอย่างไรให้ชีวิตง่ายขึ้น
-
คุณพ่อเคยถามเรื่องการแต่งงานหรือเปล่า
คุณพ่อก็พูดเรื่อยว่า เมื่อไรจะแต่งงาน (หัวเราะ)
ผมมองว่ายังไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยิ่งผู้ชายด้วย
แต่ก่อนผมไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลย เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องไกลตัว
รู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวก็มีความสุขแล้ว แต่พอโตขึ้นเพื่อนเริ่มหาย แต่งงาน
เริ่มมีชีวิตเป็นของตัวเอง เราก็คิดไว้สักหน่อยก็ได้นะ
แต่ชีวิตตอนนี้ผมยังอิสระอยู่ จะไปไหนอย่างไรผมไม่ต้องโทร.หาใคร
ผู้หญิงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าพูดว่าเป็นเรื่องงานก็อาจดูดีเกินไป
ผมว่าเรื่องตัวเองเป็นใหญ่ เอาเวลาไปอ่านหนังสือ เล่นกีฬา
และเที่ยวต่างจังหวัดครับ (หัวเราะ) :D (หน้าพิเศษ)